วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

การใช้ที่ดินภายในบริเวณคูเมืองชั้นนอกและคูเมืองชั้นในของชุมชนโบราณเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์ กรณีศึกษาเปรียบเทียบ (บุญสม สังข์สาย, 2545)





1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ที่ตั้งของเทศบาลเมืองสุรินทร์ในปัจจุบันนั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เคยเป็นเมืองโบราณมีชื่อเรียกว่าบ้านคูปะทายหรือประทายสมันต์หรือประทายสมัน คำว่าปทายมาจากคำว่าบันทายแปลว่ากำแพงหรือเมืองหรือป้อม จากภาพถ่ายทางอากาศปรากฏหลักฐานแสดงให้เห็นการตั้งเมืองสุรินทร์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีคูคันดินล้อมรอบ 2 ชั้น พื้นที่ของเมืองวัดตามแนวรอบคูเมืองชั้นนอกประมาณมากกว่า 3.2 ตร.กม.หรือมากกว่า 2,000 ไร่ จัดเป็นชุมชนโบราณที่มีขนาดใหญ่ 1 ใน 10 อันดับแรกของชุมชนโบราณที่สำรวจพบในประทศไทย
สภาพในปัจจุบันพบว่าคูเมืองชั้นในมีลักษณะเป็นคูเมืองอยู่ด้านนอกคู่กับกำแพงดินที่อยู่ถัดเข้ามา เป็นเส้นโค้งและมีรูปร่างคล้ายรูปหัวใจ ปลายแหลมตอนล่างของหัวใจอยู่ตรงบริเวณสระน้ำวัดจุมพลสุทธาวาส จากตำแหน่งนี้ไปทางทิศตะวันออกของคูเมืองชั้นในเป็น คูเมือง ถนน และศูนย์รวมสถานที่ราชการ จนถึงสวนสาธารณะหนองยาว ระยะทางประมาณ 1 กม. จากนั้นคูเมืองหักไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นคูเมืองชั้นในทิศเหนือ ปรากฏเป็นถนน ตลาดสดเทศบาลเมือง อาคารพาณิชย์ และสถานที่ราชการ ระยะทางประมาณ 1 กม. ส่วนคูเมืองชั้นในทิศตะวันตก ปรากฏเป็นคูเมืองคู่กับกำแพงเมืองที่เป็นดินเห็นได้ชัดเจนกว่าทุกด้าน และมีสถานที่ราชการหลายแห่ง ระยะทางประมาณ 1.7 กม.
ส่วนคูเมืองชั้นนอกมีลักษณะเป็นกำแพงดินอยู่ตรงกลางขนาบด้วยคูเมือง 2 ด้าน แตกต่างจากคูเมืองชั้นใน และมีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า แนวคูเมืองด้านยาววางตัวขนานกันในแนวตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ระยะทางใกล้เคียงกัน นั่นคือแนวคูเมืองทิศเหนือเป็นชุมชนมีรายได้น้อย ถนน อาคารพาณิชย์ และสถานที่ราชการ ระยะทางประมาณ 2.5 กม. และทิศใต้เป็นชุมชนมีรายได้น้อย ถนน และที่อยู่อาศัย ระยะทางประมาณ 2 กม. สำหรับด้านกว้างแนวคูเมืองวางตัวขนานกันในแนวตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ ระยะทางใกล้เคียงกัน นั่นคือแนวคูเมืองทิศตะวันออกมีความชัดเจนน้อยกว่าทุกด้าน เป็นชุมชนมีรายได้น้อย ระยะทางประมาณ 1.3 กม. และทิศตะวันตกเป็นชุมชนมีรายได้น้อย และที่อยู่อาศัย ระยะทางประมาณ 1.2 กม.
ปัจจุบันเทศบาลเมืองสุรินทร์ได้บูรณะสภาพของคูเมืองและกำแพงเมือง โดยจัดให้เป็นสถานที่นันทนาการ ติดป้ายให้ทราบถึงความสำคัญ แต่นับวันการขยายตัวเมืองมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สภาพที่เป็นมาแต่อดีตเปลี่ยนแปลงไปมาก ผู้วิจัยเห็นว่าควรที่จะได้ศึกษาติดตามการใช้ที่ดินในชุมชนโบราณแห่งนี้

2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
2.1 ต้องการเปรียบเทียบหน้าที่และลักษณะโครงสร้างในปัจจุบัน ระหว่างพื้นที่ภายในคูเมืองชั้นนอกกับพื้นที่ภายในคูเมืองชั้นในที่เป็นที่ตั้งของเมืองสุรินทร์
2.2 ต้องการศึกษาผลกระทบและแนวทางการพัฒนาพื้นที่ภายในคูเมืองทั้งหมด

3. การรวบรวมข้อมูล
การแปลความและตีความจากภาพถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหารมาตราส่วน 1 : 10,000 ผังเมืองรวมของกรมการผังเมือง ผังเทศบาลเมืองสุรินทร์ ข้อมูลภาคสนาม โปรแกรม ArcView GIS Version 3.1 เพื่อจัดทำแผนที่แสดงหน้าที่และลักษณะโครงสร้าง และการวัดพื้นที่ด้วยจุด เพื่อคำนวณพื้นที่การใช้ที่ดินแต่ละประเภท ทางอากาศของกรมแผนที่ทหารนๆที่ได้ดำเนินการไปมากแล้วทนาการ ติดป้ายให้ทราบถึงความสำ

4. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
4.1 หน้าที่และลักษณะโครงสร้างในปัจจุบันของพื้นที่ภายในคูเมืองชั้นในเป็นพื้นที่การค้าและบริการมากที่สุดประมาณร้อยละ 33.37 รองลงมาเป็นที่อยู่อาศัยประมาณร้อยละ 25.78 สถานที่ราชการด้านสาธารณสุข สาธารณูปโภค และสาธารณูปการประมาณร้อยละ14.10 รวมพื้นที่ทั้ง 3 ประเภทประมาณร้อยละ 73.25 ของพื้นที่ภายในคูเมืองชั้นใน
4.2 หน้าที่และลักษณะโครงสร้างของพื้นที่ภายในคูเมืองชั้นนอกเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัยมากที่สุดประมาณร้อยละ 31.23 รองลงมาเป็นพื้นที่โล่งหรือที่ว่างที่ยังไม่ได้พัฒนาประมาณร้อยละ 27.87 และพื้นที่การค้าและบริการประมาณร้อยละ 20..09 รวมพื้นที่ทั้ง 3 ประเภทประมาณร้อยละ 79.19 ของพื้นที่ภายในคูเมืองชั้นนอก (ดูรูปที่ 4.5)
4.3 ผลกระทบจาการใช้พื้นที่ พบว่า
4.3.1 ความแออัดของที่อยู่อาศัยทำให้ชุมชนขยายตัวเข้าไปบุกรุกพื้นที่อนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทยและพื้นที่สาธารณะ
4.2.2 การจราจรแออัดในชั่วโมงเร่งด่วน โดยเฉพาะถนนหลักเมืองบริเวณตลาดน้อย ถนนกรุงศรีในบริเวณตลาดลดเทศบาลเมือง และวงเวียนน้ำพุถึงสี่แยกไนท์
4.3.3 มลพิษทางอากาศจากยานพาหนะ
4.3.4 การกำจัดขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูลและขยะอันตราย
4.3.5 มลภาวะทางเสียง
4.3.6 โครงสร้างพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น ทางเดินเท้า ระบบระบายน้ำ ไฟฟ้าสาธารณะ และน้ำประปาไม่เพียงพอ
4.3.7 ขาดพื้นที่สีเขียว
4.4 แนวทางการพัฒนาพื้นที่ภายในคูเมือง
4.4.1 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
4.4.2 อนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย
4.4.3 การใช้ผังเมือง
4.4.4 การให้ความสำคัญกับการลดมลพิษ
4.4.5 การอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

ไม้ยืนต้นในเขตป่าทางตอนใต้ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ วิเคราะห์การกระจายและโครงสร้างด้วยลักษณะภายนอก



ช่วงเวลาในการวิจัยระหว่างพ.ศ. 2538-2541 ขณะนั้นใช้ชื่อว่าสถาบันราชภัฎสุรินทร์

1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
สถาบันราชภัฏสุรินทร์ในขณะนั้นหรือมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ในปัจจุบัน มีผืนป่าที่คงสภาพป่ามากที่สุดตั้งอยู่ทางทิศใต้เพียงแห่งเดียว ประกอบด้วยไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม ไม้เถา ไม้ล้มลุกซึ่งแบ่งย่อยเป็นวัชพืช หญ้า ตะไคร่น้ำ และพืชที่เกาะอาศัยอยู่บนต้นไม้ กระจายอยู่บนพื้นที่ประมาณ 10,510.50 ตร.ม.หรือประมาณ 6.6 ไร่ หรือร้อยละ 1.32 ของพื้นที่ทั้งหมดของสถาบัน (ดูรูปที่ 1)




รูปที่ 1 ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงพื้นที่ป่าทางทิศใต้มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ปรับปรุง
จาก PointAsia, 2009


ลักษณะแผ่นดินเป็นที่ราบ มีโคกกระจายอยู่ 5 แห่ง ความสูงจากระดับทะเล ปานกลางประมาณ 149 ม. ภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าเมืองร้อน ประกอบด้วยปริมาณฝนรวมประจำปีประมาณ 1,320.7 มม. จำนวนวันที่มีฝนตกประมาณ 117 วัน อุณหภูมิเฉลี่ย 27 0ซ กิจกรรมที่เกิดขึ้นส่วนมากเป็นการเข้าไปเอาประโยชน์ โดยการเก็บเห็ดและพืชผัก ก่อนปีพ.ศ.2535 เคยเป็นห้องปฏิบัติการของภาควิชาศาสนาและปรัชญา ค่ายพักแรม และต้อนรับน้องใหม่ นายนิเชต สุนทรพิทักษ์ อดีตอธิบดีกรมการฝึกหัดครูให้แนวคิดว่าป่าแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในสถาบัน เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ทางสถาบันน่าที่จะได้มีการศึกษาเชิงวิชาการไว้บ้าง ผู้วิจัยเห็นว่าน่าที่จะได้นำวิชาการสาขาภูมิศาสตร์เข้าไปมีส่วนร่วมในการศึกษาด้วย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการทำฐานข้อมูลทางวิชาการผืนป่าสำหรับใช้ประโยชน์ในสถาบัน

2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการกระจายของไม้ยืนต้น และศึกษาลักษณะโครงสร้างภายนอกของไม้ยืนต้น ได้แก่ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ขนาดและ ชั้นความสูง ความกว้างเรือนยอด และการแบ่งประเภทของไม้ยืนต้นซึ่งเป็นผลมาจาก สภาพภูมิอากาศในรอบหนึ่งปี ที่มีผลต่อวงจรชีวิตของไม้ยืนต้น

3. การรวบรวมข้อมูล
การสำรวจด้วยเข็มทิศแบบเส้นวงรอบรูปเปิดและเทปวัดระยะ เพื่อทำแผนที่แสดงตำแหน่งของไม้ยืนต้นมาตราส่วน 1: 100 เทปวัดระยะเส้นรอบวงลำต้นของไม้ยืนต้นตาม กำหนดของกรมป่าไม้ที่ระดับ 1.30 ม. จากพื้นดิน วัดความสูงของไม้ยืนต้นเปรียบเทียบกับจำนวนเท่ากับขนาดความสูงของคนที่ยืนใต้ต้นไม้ และเทปวัดระยะความกว้างเรือนยอด

4. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
รูปแบบการกระจายของไม้ยืนต้นเป็นแบบกลุ่ม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของไม้ยืน-
ต้นเฉลี่ย 18.94 ซม. ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.06 เป็นลูกไม้ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อย
กว่า 20.00 ซม. ไม้ยืนต้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 157.82 ซม.
ความสูงส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.72 อยู่ในระดับเตี้ยและเตี้ยมาก หรืออยู่ในระดับชั้นความสูงที่ 4–5 จากการจำแนกลำดับชั้นความสูงทั้งหมด 7 ชั้น โดยมีความสูงประมาณ 2–10 ม. สำหรับความกว้างเรือนยอดส่วนใหญ่หรือร้อยละ 32.78 มีขนาดประมาณ 4-6 ม. ไม้ยืนต้นที่มีขนาดความกว้างเรือนยอดมากที่สุดประมาณ 27.30 ม. เป็นต้นเดียวกับไม้ยืนต้นที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ที่สุด ด้านวงจรชีวิตของไม้ยืนต้นเป็นประเภทผลัดใบ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 54.81 เป็นวงศ์ไม้ยาง สภาพป่าที่มีวงศ์ไม้ยางเป็นไม้เด่นในสังคมป่า จึงเป็นป่าเต็งรังหรือป่าโคกหรือป่าแดง ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะแผ่นดินที่ป่าตั้งอยู่ ซึ่งมีโคกกระจายอยู่ 5 แห่ง ยังมีไม้ยืนต้นขึ้นปะปน ได้แก่ พอก มะกอก มะค่าแต้ ประดู่ งิ้ว นนทรี และอื่นๆ